Saturday, July 18, 2015

The well of Saint Genievie

ขุนนางผู้นี้มีนามว่า  The head-strong knight Erazem Lueger (โอนาซิน เดอลารองซ์) เขาอาจเป็นนักผจญโชคที่หาชื่อสกุลขุนนางให้กับตนเอง เพื่อที่สังคมชั้นสูงจะได้โอบอุ้มให้เป็นที่ยอมรับเพราะไม่มีใครในประวัติศาสตร์ของชนเชื้อสายชาวัวที่มีใครรู้จักชื่อนี้ไม่มีบรรพบุรุษหรือผู้สืบเชื้อสายคนใดได้นับญาติของตนมีความสัมพันธ์กับพวกเขาตั้งแต่สมัยใดๆอันที่จริงแล้วไม่มีใครรู้ว่าเขามีที่มาอย่างไร แต่เขาก็แสดงตัวตนออกมาในยุคสมัยที่เราพบนั่นแหละ....ใช้ชืวิตหรูหราในปราสาท . the Predjama Castle....ซึ่งงานเลี้ยงอย่าง เขาของโกโนปี(The horn of conopy) อันเปํนองค์บริบทสำคัญที่ทำให้ชื่อนี้เป็นนิยามของความหมายแห่งการใช้ชึวิตที่เพียบพร้อมเป็นนามแฝงใช้กันอยู่อย่างสามัญของคำว่า ราชาเพราะเขาป็นอัศวินที่มีความเป็นอยู่อย่างราชาโดยมีชีวิตที่แวดล้อมด้วยบริวารมากมาย ที่ปราสาทเขามีหอคอยหกหอแต่ละหอมมีห้องใต้ดินอันเป็นที่เลื่องลือถึงที่เก็บองุ่นหมักทำไวน์ทำให้เหล้าองู่นภายในห้องใต้ดินมีรสชาดดีเลิศ ในเรื่องอาหารการกินที่เขาใช้คำว่าหรุหราตลอกปีที่มีนิยามแฝง ของความฟุ่มเฟือยหลงเหลืออยู่ต่อมาถึงปีถัดไป โดยเฉพาะแกะสายพันธ์...และเรื่องหลับนอนนอนก็คือความประพฤติเสเพลและชีวิตที่ลุ่มหลงอยู่ในโลกียวิสัย ที่มูแลงรูจน์มีสาวงามจำนวนมากพร้อมที่จะหลับนอนกับอัศวินผู้นี้และบรรดาแขกเหรื่อของเขา  ในฐานะหัวหน้าหรือผู้ว่าราชการประจำจังหวัดใดอาทิเช่น .................



                ในบรรดาสาวงาม

ที่ร่วมหลับนอนกับเขาไม่มีใครสักคนในจำนวนนั้นที่เป็นอุปสรรคในความรักที่เขามีต่อดยลองด์ ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของเขาเลย และเป็นที่แน่นอนว่าราเชลจะไม่เคยได้รับอนูญาตให้มาในงานเลี้ยงฉลองไม่ว่าในคืนนี้หรือคืนไหนๆก็ตาม เธอจะต้องอยู่เพียงคนเดียวตามลำพังโดยที่มียามคอยรักษาการณ์อย่างแน่นหนา  เมื่อเวลาผ่านไปสาวงามผู้อ่อนหวานพึงสังเกตเห็นกระแสลมโชยสายฝนโปรยมาเย็นฉ่ำเสมือนหัวใจดวงน้อยๆแสนเปราะบางของเธอได้รับการเยียวยาจากพระพิรุณและองค์พิคเณศ โน้มน้าวจิตใจของเธอให้โอนอ่อนย้อนเวลา เดินไปหยิบพิณที่แขวนอยู่บนเตาผิงขึ้นมาเทียบเสียงพอได้ระดับเสียงที่พอใจเธอก็รำพันเบาๆเคล้าคลอไปกับเสียงเพลงและฝันถึงครั้งก่อนที่จะนำอดีตออกมาตีแผ่และบ่อยครั้งเช่นเดียวกับหญิงสาวหลายๆคนโดยใช้จินตนาการเกี่ยวก้อยเรื่องในชีวิตจริงไปกับชายหนุ่มจินตกวีรูปงาเเชื้อสายขุนนางเต็มตัว (Poor little fool) นอกจากนั้นเขาจะต้องเป็นนักกายกรรมเพื่อที่จะสามารถผ่านเหล่าทหารยามรักษาการณ์เข้าหาเธอถึงในห้องในหอคอยด้านตะวันตกของประสาทโดยโรยตัวด้วยเชือกคล้องลูกรอกผ่านหน้าต่างช่องแคบๆที่มีแสงสว่างรอดเข้ามาในกรงทองที่กีดขวางอยู่นั้นและเมื่อเข้ามาอยู่ในกรงทองของเธอมองผ่านหน้าต่างแคบๆที่มีแสงสลัวรอดเข้ามา คูน้ำที่กว้างพอสมควรและเหล่าทหารยามที่รักษาการณ์อยู่เบื้องล่างก็ไม่สามารถเป็นอุปสรรคกีดกั้นระหว่างเธอกับเขาได้ ชายคนนี้ผู้เข้ามาเยี่ยมเธอพร้อมทั้งระบายความในใจโดยร่ายกลอนที่เรียงร้อยมาสำหรับเธอเมื่อมาถึงหอคอยเมื่อตะวันกำลังจะเริ่มลับขอบฟ้าและขับกล่อมเธอด้วยบรรยายถึงความงดงามของทะเลสาบทุกสิ่งที่เขาทำเป็นบทกวีที่หญิงสาวเห็นพ้องจากภาพไกลๆของทะเลสาบที่ไม่สามารถจินตนาการโดยไม่มีเสียงของเขาทำให้เธอขวยอายหน้านวลระเรื่อดังดอกสายน้ำผึ้งยามเช้า....ที่หอมลมุน

                             ส่วนสามีของเธอ....จินตนาการว่า................เหล่าทหารยามที่เฝ้าบรรดาประตูคูหออยู่ก็ไม่สามารถกีดขวางเทพบุตรเฃื้อสายกรีกคนนี้โดยไม่ให้โรยตัวมาเยี่ยมเธอถึงในห้องนอนอันแสนสบายนั้นได้ หากมาตรว่าความฝันนั้นๆเป็นความจริงขึ้นมาเราคงได้ยินเสียงพิณระคนเสียงโอดครวญปรวนแปรเป็นกังวานดังประหนึ่ง....สายรุ้ง
เรื่อง หอคอยที่เจ็ดแห่งกษัตริย์ ณ. ประสาท ริปาย
                นักประวัติศาสตร์ได้พยายามเล่าชีวิตที่หน้าเลื่อมใสของ ดยุคแห่งชาวัวนาม อเมเด ที่ 8(ค.ศ. 13831451) เพื่อพยายามให้เราลืมคำกล่าวของนักเขียนอย่าง วอลแตร์ที่เขียนให้เรารู้จักชื่อเสียงของปราสาทริปาย แต่ ความจริงไม่ปรากฏในงานเขียนของขุนนางแฟร์เนย์ หรือ สันตะปาปา เฟริคที่ 5 ผู้อ่อนโยนและมีนัยเป็นคู่แข่งและเป็นผู้เล่าเรื่องชีวประวัติของนักบุญ

                เรื่องนี้เป็นชีวประวัติของขุนนางผู้มีชื่อเสียงในทางอัปมงคล ได้รับเลือกที่เมือง บาล ในปี ค.ศ. 1435 ไห้ดำรงตำแหน่ง ผู้ต่อต้านและไม่ยอมรับ พระสันตะปาปา เออแณนที่ 4 และ นิโคลัสที่ 5 และได้ทำการสละตำแหน่งในปี ค.ศ. 1449 ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่แต่ตอนนี้เขาถูกลืมไปแล้ว เพราะมันเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายเมื่อลัทธิของคาธอลิคมีการแยกตัวออกมา....ขุนนางผู้นี้ชื่อ โอเนชิม เดอลาดร็องช์ผู้เปลี่ยนนามสกุลของตนเองเป็นเชื้อพระวงศ์เพราะประวัติศาสตร์

ส่วนสามีของเธอจินตนาการว่า............มีคนผู้ประสงค์ร้ายประเภทกวีที่ชอบลำพันถึงธรรมชาติมาด้อมมองสนามด้านตะวันตกของปราสาท มีต้นสายน้ำผึ้งขึ้นเป็นแนวยาวก็อดไม่ไหวที่จะเด็ดออกมาดมมีกลิ่นหอมกลุ่นคล้ายกลิ่นน้ำหอมคริสตินดิออร์กลิ่นดอกมูเก็ต์ เป็นดอกไม้ที่น่ารักก้านดอกบอบบางและปักใจชอบทันทียามที่ได้ยินเสียงขับกล่อมจากเบื้องสูงบนหอคอย....เขาเป็นนักเลงประเภทร่อนเร่พเนจรพร้อมบทกลอนใหม่ที่ถุกจุดประกายขึ้นจากสิ่งแวดล้อมเช่นดอกไม้เยี่ยงนั้น จุดประสงค์อันใดฤๆที่ผลักดันให้เขากระทำเช่นนั้นย่อมเป็นเรื่องที่อธิบายได้ยาก แต่ลอร์ดโอเนซิมก็อุบัติสายตาไปบรรจบเข้ากับสิ่งๆหนึ่งนั่นก็คิอ คาตาปู หรือเกาฑันเป็น อาวุธสงครามสมัยโบราณทีมีไว้ใช้ยิงขึ้นไปพร้อมกับลูกรอกหรือสิ่งของหนักๆเพื่อให้ผ่านข้ามกำแพงเวลาเกิดศึกสงคราม นี่ใช่เวลาสงครามก็หาไม่แล้วอะไรเล่า...เขาจินตนาการต่อไปว่าภรรยาของหัวหน้ายามรักษาการณ์ได้ถูกกวีผู้นี้ขับกล่อมบทกลอนเกี่ยวกับความหอมของดอกมูเก็ตเข้าให้แล้ว....เพื่อหลอกล่อเธอแล้วนำตัวเองเข้าไปในปราสาทได้สำเร็จเป็นที่แน่นอนมาดแม่นว่าเขาถูกยามหกเจ็ดคนช่วยกันจับตัวไว้ได้ ขุนนางโอเนซิมที่บารมีเหนือกว่าท่านลอร์ดใดๆในแคว้นเบอร์กานดีคิดต่อไปอย่างมีความสุขที่จะได้เผิชญหน้ากับชายจรจัดผู้ชอบร่ายกวีเกี่ยวข้องกับดอกไม้หอม และแล้วมันผู้นั้นจะต้องถูกเขาตัดใบหูออกสังเวยนางบำเรอของเขาเช่นเดียวกับที่ ศิลปินชื่อ วินเซ็นต์แวนโก๊ะเคยกระทำต่อ ราเชน นางโรมแห่งหอคอยโคมแดง...และอย่างอื่นรวมทั้งบทกลอนของวณิพกคนนี้จะถูกเขาหั่นเป็นชิ้นๆต่อหน้าเพื่อนพ้องของเขาที่มางานเลี้ยงครั้งนี้และเป็นครั้งเดียวเท่านั้นที ราเชลได้ถุกเชิญเข้าร่วมด้วยในงานเลี้ยงรื่นเริง
                ในเมืองมีแม่มดมนุษย์ป้าๆมีสถานะในเฟสบุคเป็นบุคคลที่สามผู้เฃื่อว่าชายวณิพกเชื้อสายขุนนางกรีกผู้ชอบร่ายกลอนเกี่ยวข้องกับดอกไม้หอมมาหว่านเสนห์ให้กับหญิงสาวที่พำนักอยู่ในปราสาท  หล่อนคือมนุษย์ป้าผู้ซึ่งมีเวทมนตร์อยู่ในร่างบางๆที่ยับย่นด้วยการปล่อยปละละเลยของกาลเวลา..... 
.........โอ้..ชายวณิพกผู้ชอบร้อยกรองบทกวีเกี่ยวกับดอกไม้หอมให้สาวๆที่พำนักอยู่ในปราสาทฟังโอ....ได้ถูกหญิงชรารังเกียจเพราะกรรมที่เขาก่อไว้ต่อหน้าหญิงสาวเหล่านั้นเพียงแต่การละเว้นราเชลลูกสาวของนางแม่มดทำให้เกิดอารมณ์ริษยา หญิงชรามาโดผู้มีเวมมนตร์อยู่บ้าง หล่อนรักษาฝีหนองอักเสบที่อกของลูกสาวจนหายและปรามาสชายหนุ่มที่ไม่มาสู่ขอลูกสาวของนางแต่กลับไปชอบโยลองด์แทน.  ใครที่เคยประสพพบพักตรลูกสาวของนางย่อมเข้าใจดีถึงความแตกต่าง,ความไม่ทัดเทียมกันในรูปลักษณ์...ในสโลวีเนีย ณ ที่ๆเป็นที่พำนักของแม่มดในร่างของหญิงชรา มาโด ความฝันของหล่อนจะเป็นความจริงขึ้นมาก็ต่อเมื่อหล่อนได้ผลักหน้าของผู้ชายที่หมายปองโยลองด์และพยายามล่วงล้ำเข้าไปในปราสาท...ก้าวล่วงไปสู่ยุคของ ปราสาทเพชรจามรี.
พวกฮอลลี่โรมันเอ็มไพล์
           
      พยายามที่จะปิดล้อมจนเขาอดอาหารตายตามคำสั่งของจักรพรรดิ เฟรดเดอริเดอะเธอ์ดช่วงปลายศตวรรษที่สิบห้าขึ้นสู่ช่วงแรกของศตวรรษที่สิบหก ณ.ปากถ้ำบนหน้าผาที่ยอดเขาเหนือทะเลสาบเจนีวา……..เมื่อทหารยามรักษาการณ์ผลักหน้าผากเขาเพื่อกันไม่ให้เขาผ่านเข้าประตุไป...เรื่องราวก้อเป็นดังที่เล่าขานมาจากสมัยศตรรษวัตรที่ สิบห้า คือเย็นวันหนึ่งในฤดูใบไม้ล่วง....แน่นอนว่าโยลองค์ไม่เคยได้มาร่วมงานอันแสนสนุกเหล่านั้นเพราะเขาไม่เคย,มาก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้หล่อนไดัสิทธิดังกล่าว เธอต้องตกอยู่ในห้วงอารักขาของยามรักษาการณ์อย่างหนาแน่น เธอดีดพิณโบราณในหอคอยด้านตะวันตกของปราสาท เช่นเดียวกับหญิงสาวเหล่าเชื้อสายขุนน้ำขุนนางเธอยังคงมีความฝันและบ่อยครั้งที่เธอฝันเห็นบุรานิรนามผู้มาเยือนพร้อมกับบทกวีอันไพเราะในท่วงท่าของนักกายกรรมที่โหนตัวมาตามสายลมถึงหน้าต่างแคบๆที่มีแสงลอดเข้ามาในกรงทองของเธอได้บางส่วน อุปสรรคต่างๆ เช่น คูน้ำกว่าง กำแพงสูงเหล่าทหารยามที่เฝ้าบรรดาประตูคูหออยู่ก็ไม่สามารถกีดขวางเทพบุตรกรีกคนนี้โดยไม่ให้โรยตัวมาเยี่ยมเธอถึงในห้องนอนอันแสนสบายนั้นได้ หากมาตรว่าความฝันนั้นๆเป็นความจริงขึ้นมาเราคงได้ยินเสียงพิณระคนเสียงโอดครวญปรวนแปรเป็นกังวานดังประหนึ่ง....สายรุ้ง.............มาโด  เจ้ามาทำอะไรอยู่ที่นี่ในเวลาเช่นนี้  เจ้าไม่กลัวความมืดของกลางคืนหรือไงผู้ดูแลผลประโยชน์ของอัศวินกล่าวขึ้นโดยมีโอนาซิม  หัวเราะอย่างเย้ยหยัน....มาโด หน้าตาน่าเกลียดมาก จนตัวหล่อนนั่นแหละจะทำให้ความมืดกลัว
                ข้าหน้าตาน่าเกลียด หญิงชราพูดขึ้น และข้าก็รู้ด้วยแต่ข้าได้พบชายหนุ่มรูปงามเหลือเกิน และเขาก็ไม่กลัวความมืดเช่นกัน
                ใครกันนะ
                ข้าไม่รู้จักเขาหรอก แต่ท่านลอร์ดท่านคงจะรู้จักเขานะ เขาถามข้าถึงทางไปปราสาทของท่านนะ
ไปปราสาทของข้างั้นหรือ
ใช่ซิ เขามาจากทะเลสาบ เสียสติหน่อย ๆ
เขามีท่าทางเหมือนอะไร
ก็ท่าทางเหมือนที่เขาเป็นนะสิ วณิพกที่สดใส เสียงหวานจนน้ำผึ้งไหลอาบหัวใจท่านเลย
                ท่านสอร์ดไม่อยากได้ยินอะไรไปมากกว่านี้เพราะทนไม่ไหวเขากระโจนออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่ได้ยินแม้แต่วาทะสุดท้ายของผู้ดูแลผลประโยชน์ แขวนคอยายแม่มดนี่เสียเถอะครับท่าน เขากระโดดขึ้นม้าแล้วกระแทกโกรนใสม้าออกไปฝ่าพงหญ้าที่มีหนามของต้นกระบองเพ็ดแฝงอยู่เป็นระยะ ยามสายันห์ส่องแสง ตะวันสีแดงเรื่อยามเช้าสายลมโชยผ่าน ขณะที่พ้นคุ้งทะเลสาบเขาได้พบกับชายผู้เป็นคนลากรถ


เจ้าไม่เห็นผู้ชายคนหนึ่งดอกหรือ
ชายผู้เป็นคนลากรถเกิดอาการกลัวจนตัวสั่นตั้งแต่ศรีษะจรดเท้า เขาพุดลิ้นระรัวจนฟังไม่ได้ศัพท์
เห็นๆ ชายร่างใหญ่ รูปงามมาก เผ่นไปเร็วราวกับธนู ตรงไปยังปราสาท เปรตจาม
                เหล่าทหารม้าออกเดินทางเร็วปานสายลม เสียงกีบม้าที่ควบกล้ำกับผิวกรวดดังสนั่นหวั่นไหว พวกเขาควบม้าหมู่ไปเช่นนี้โดยไม่มีใครเห็น..จนกระทั่งนาทีระทึกก็มาถึงประตูลับของปราสาท ท่านลอร์ดจึงถามทหารยามรักษาการณ์ว่า เจ้าเห็นผู้ชายคนหนึ่งบ้างไหมนี่
ไม่เห็นใครเลยขอรับ
ไม่มีใครเข้ามาเลยหรือ
ข้ามาอยู่ที่นี่ชั่วโมงหนึ่งแล้วก็ยังไม่เห็นใคร
แล้วเจ้าไม่เห็นใครที่เดินอยู่ในบริเวณนี้เลยหรือ
ไม่มีใครเลยขอรับ
ไอ้โง่ตัวนี้คงไม่หนีไปไหนหรอกนะ
                ท่านลอร์ดออกคำสั่งให้กองลาดตระเวนออกพื้นที่รอบๆอีกกองหนึ่งไปสำรวจบริเวณปราสาทและห้องใต้ดินจนทั่ว
                แล้วถ้าพบผู้ชายคนหนึ่ง จงจับเป็นแล้วนำตัวมาหาข้าที่นี่
                พูดจบก็รีบไปหอคอย...ที่ๆภรรยาของเขาถูกขังอยู่ แต่

ไปที่ประตูหน้าห้องคุณหญิง ไปข้างใน บอกไปว่าเจ้าคิดว่าเจ้าได้ยินเสียงเรียก และหาทางเข้าไปเพื่อให้แน่ใจว่า เออยู่ตามลำพังคนเดียว ผู้กองหัวหน้าหน่วยและทำหน้าที่องค์รักษ์รีบรุดไปหอคอยด้านตะวันตกแล้วเมื่อเข้าไปใกล้ก็ได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่งชัดเจนไม่ต้องสงสัยเลยว่าเสียงนี้มาจากห้องของ.......
                                                              

...โยลองด์ เขาจึงเดินไปข้างหน้าแต่เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้แนบหูกับบานประตูเสียงนั้นก็เงียบลงเหลือเพียงเสียงดนตรีเศร้าสร้อยจากการบรรเลงของหญิงสาวจากพิณโบราณ และแล้วองค์รัก์ก็พยายามย่อตัวลงแนบใบหน้าเข้ากับรูกุญแจเพื่อสอดส่ายสายตาเข้าไปภายใน

แต่สิ่งที่เขาเห็นก็เป็นเพียงกำแพงหินที่อยู่ตรงหน้าประตู 



องค์รักษ์วาดมโนภาพฝันถึงตัวเขาเองจรดปลายดาบกดลงไปที่คอหอยของผู้บุกรุกหรือวณิพกผู้กระทำการอุกอาจจนหน้าละอาย เขาพยายามมองอีกครั้งจนเมื่อภายในห้องได้ยินเสียงเขาซื๊ดนำลายให้ไหลกลับเข้าลำคอของตนเอง เขาจึงเปิดประตูผลั่วๆเข้าไปโดยไม่ลืมบิดปุ่มลูกบิดที่ถูกทำลายจากแรงกระแทกของเขา โอยเสียงร้องระคนความเจ็บปวดของเขา ภาพที่อยู่ตรงหน้าปราศจากวณิพกหนุ่มรูปงามถูกขู่บังคับให้เขาพาไปหาเจ้านานแต่กลายเป็นหญิงงาม.....



...........แทนที่เขาจะได้จับตัวผู้บุกรุกที่มีค่าตอบแทนอย่างสาสม รางวัลจากการจับตัวเป็นฯทำให้เขาแทบคลั่งไม่ลังเลเลยที่จะกระตุกดาบออกจากฝัก ทำให้เสียงพิณหยุดลงทันที โยลองด์ผู้เลอโฉมทำตาเขียวใส่เขา สำหรับคนที่มีนัยน์ตาสีฟ้าใสสว่างมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่หล่อนทำพร้อมกับพร้อมกับขมวดคิ้วแล้วเชิดหยิ่ง....


“(ไอ้คนถ่อย)...อ้อ ท่านองค์รักษ์ คงไม่ต้องลำบากเคาะประตูแล้วซินะ
อ้า...คือว่าข้าเคาะแล้ว
“(ไอ้สันดาน) นั่นไง ท่านเคาะประตุแล้วและท่านก็บอกให้ท่านเข้ามาได้ และเป็นเพราะข้า
 (ประสาทแตก) เสียสติ ท่านจึงดึงไอ้นั่นนะ(ดาบ)ออกจากฝัก
ได้โปรดเถอด ท่านหญิง ข้าคิดว่าได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ
อย่างนั้นหรือจากไหนละ(สะพานควายกระมัง)โปรดรบกวนบอกด้วย
จากหลังประตู
แล้วท่านมาทำอะไรอยู่ที่นั่นละ(ไอ้ตูดหมึก)”
หญิงสาวหัวเราะเสียงใสเผยให้เห็นความงาม
เออแนะท่านไม่ได้เป็นองค์รักษ์แล้วแต่เป็นทหารธรรมดาๆ เป็นการเลื่อนขั้นที่สวยหรู ข้าขอชมเชย สามีข้าช่างวิเศษเสียจริง ข้าขอชมเชย และแสดงความยินดี    ผู้กองตกหลุมพรางของตัวเองที่วางไว้ จึงวดึงดันโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ที่ถูกผู้หญิงรุปร่างเปราะบางคนนี้เยาะเย้ยและถากถาง จึงรีบวิ่งออกจากห้องเพื่อไปรายงานให้เจ้านานรู้ทันที และแน่นอนเขาระบายสีเติมไปอีกว่า เขาอยู่กับมาดาม ผมได้ยินเขาพูดกัน และเขาก็อ่านบทกลอนแห่งรักให้มาดามฟัง พอข้าเข้าไปในห้องแบบจู่โจม แต่ชายคนนั้นปราดเปรียวเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด กระโดดไปอยู่ที่ขอบหน้าต่างแล้ว ขระที่ผมกำลังจะเข้าไปแทงไอ้เจ้าวณิพกอุจาดผู้นั้น มาดามก็หวีดร้องขึ้นสุดเสียงจนผมหันหน้าไปมองนาง แล้วชายผู้นั้นก็กระโดดลงไปบนความว่างเปล่าแล้ว

                                      






Thursday, March 26, 2015

..ตำราของอาริสโตเติ้ล



Feast day

   บอร์ส และ เบลโอเบรีสกำลังหมอบเหนือกองไฟลุกโพลง เหมืนในภาพวาด..
                *แต่ทำไมพวกเขาไปกันเร็วนักเล่า* บอร์สถามอย่างมีข้อกังขา
                *ข้าไม่เคยเห็นกองทัพที่ไหนยกกำลังมาล้อมเมืองไว้แต่ก็ยกทัพกลับอย่างรวดเร็วขนาดนั้น โดยที่พวกเขารื้อถอนค่ายไปเพียงแค่ชั่วข้ามคืนหายไปหมดเหมือนถูกลมหอบไป*
*คงจะได้ข่าวร้าย  คงจะต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากลในอังกฤษเกิดขึ้นก็เป็นได้*
*ถ้าพวกเขาต้องการยกโทษให้ลานสล๊อตก็คงส่งสาสน์มาแล้ว*
                *ดูแปลกอยู่หรอกโดยกลับไปปุบปับโดยไม่บอกกล่าว*
                *เจ้าคิดว่าอาจเกิดกบฏขึ้นใน คอร์นวอลล์ หรือเปล่า หรือในเวลล์หรือบางทีในไอร์แลนด์*
                *มีพวกบรรพชนอยู่นี่นา*  เบลโอเบรีสเห็นพ้องออกอาการมึนงง
                *ข้าไม่คิดว่าเป็นเรื่องกบฏนะ ข้าคิดว่าพระราชาทรงประชวร และต้องอัญเชิญกลับโดยด่วน หรือไม่การเวกต้องป่วยหนัก ที่โดนลานสล๊อตฟาดด้วยโล่ ให้เป็นกำนัลถึงสองครั้ง อาจจะโดนที่ศิรษะของเขาอย่างจัง*
                *ก็เป็นได้*
                บอร์สเคาะไฟแรงๆ *จากไปแบบนั้น แล้วก็ไม่พูดอะไรสักคำ*
                *ทำไมลานสล๊อตไม่ทำอะไรบ้างละ*
                *จะให้เขาทำอะไรได้*
                *ไม่รู้สิ*
                *พระเจ้าอยู่หัวขับเขาออกจากประเทศนี่*
                *ใช่*
                *ง้นก็ไม่มีอะไรให้ทำเลย*
                *ถึงอย่างไร* เบลโอเบริส กล่าว *ข้าก็หวังว่าเขาจะทำอะไรบ้าง*
                ประตูที่ตีนบันไดเปิดออกพร้อมด้วยเสียงย่ำบันไดเวียนลงมาจากหอคอยเล็ก พรมทำด้วยต้นกกตั้งตรงขึ้น ควันพวยพุ่งจากกองไฟในเตา และเสียงของลานสล๊อตดังรอดเสียงลมลั่น  *บอร์ส เบลโอริส เดมาริส*
                *อยู่ตรงนี้*
                *ตรงไหน*
                **บนนี้
ได้ยินเสียงประตูปิดดังมาไกลๆ  ความเงียบกลับเข้ามาในห้อง  เสื่อทอต้นกกล้มลงพื้นกลับเข้าที่เดิม และเสียงฝีเท้าของลานสล๊อตดังชัดเจนขึ้นสะท้อนก้องตามขั้นบันใดหิน ทั้งๆที่เมื่อสักครู่เสียงตะโกนของเขาฟังแทบไม่ออก เขาเข้ามาอย่างรีบร้อนมือถือจดหมาย ลั่นเสียงกระแอมไอ  *บอร์ส เบลโอริส เดมาริส*
*ข้าตามหาเจ้าอยู่*
                *มีจดหมายมาจากอังกฤษ* พวกเขายืนขึ้น
*นกส่งสารถูกพัดขึ้นฝั่ง ไกลจากชายฝั่งที่นี่ขึ้นไปห้าไมล์*
                *เราต้องออกเดินทางทันทีเลย*
                *”ปอังกฤษหรือ*
*ใช่*
                *ฬว่ ไปอังกฤษซิ  ข้าได้บอกไลน์โอแนล ให้จัดการเรื่องพาหนะแล้ว และข้าต้องการให้เจ้า บอล์ส จัดการเรื่องเสบียงนะ*
                *เราต้องรอให้กำลังลมอ่อนตัวลงก่อน*
                *เราจะไปทำไมหรือ* บอล์สถาม *ท่านต้องบอกเราว่ามีข่าวอะไร*
*ข่วหรือ*
                *ข่าหรือ* เขาพูดตะกุกตะกักสุ้มเสียงคลุมเครือ
                *ยังไม่มีเวลาสำหรับช่าวหรอก ข้าจะเล่าให้ฟังในเรือ เอ้า อ่านจดหมายนี่ก่อน*
                เขายื่นจดหมายให้บอล์ส แล้วออกไปก่อนที่พวกเขาจะทันตอบ *ว่าไง*
                *อ่านสิ*
                *ข้าไม่รู้ว่าใครเขียนมาด้วยซ้ำ*
*อ่านไปก็คงรู้เองน่า*           
                ลานสล๊อตกลับเข้ามาก่อนที่พวกเขาจะอ่านได้ไปไกลกว่าวันที่
                *เบลโอโบริส*เขาบอก *ข้าลืมไป ข้าต้องการให้เจ้าดูแลเรื่องม้า เอาจดหมายมาก่อน ถ้าเจ้าสองคนค่อยๆสะกดละก็ เจ้าต้องอ่านอยู่ทั้งคืนแน่*
                *เขียนมาว่าอย่างไรละ*
*ข่าวนี้มาจากนกสื่สาร ดูเหมือนว่า มอร์เดร๊ดเป็นกบฏต่อพระเจ้าอาณ์เธอร์ ประกาศตนเป็นประมุขแห่งอังกฤษ และเขาได้ขอให้ วอนีเวียร์ แต่งงานกับเขา*
                *แต่นางแต่งงานแล้วนี่* เบลโอเบรีสท้วง
                *นั่นเป็นสาเหตูที่พวกนั้นเลิกปิดล้อมพวกเราไง*
                *แล้วดูเหมือนว่ามอร์เดร้ดยกทัพไปรวมที่เค็นต์ เพื่อขัดขวางไม่ให้พระเจ้าอยู่หัวขึ้นฝั่ง*
*เขาประกาศไปว่าพระเจ้าอาร์เธอร์ทรงสวรรคตแล้ว*
*เขากำลังล้อมจับพระราชินีโดยระดมยิงปืนใหญ่ไปที่หอคอยแห่งลอนดอน*
*ปืนใหญ่*
*ใช่ เขามารอพบอาร์เธอร์ที่โดเวอร์ และทำการสู้รบเพื่อมิให้พระองค์ขึ้นฝั่ง สู้กันทั้งบนบกและในน้ำ แต่พระเจ้าอยู่หัวทรงขึ้นฝั่งได้ รอวันประกาศชัยชนะ*
*ใครส่งจดหมายมา*
ลานสลอ๊ตทรุดตัวลงนั่งทันที *มาจาก ขุนพลการเวก*
*การเวกที่น่าสงสาร เขาตายแล้ว*
เบลโอเบริสตั้งกระทู้ *ตายแล้วเขียนได้อย่างไร*
*สารนั้นอ่านแล้วน่าสลดใจเหลือเกิน*
*การเวกเป็นคนดี พวกเจ้าทุกคนที่บังคับให้ข้าสู้กับเขา โดยไม่ได้เห็นแก่จิตใจที่งดงามของเขา*
                *อ่าซิ* ฮอร์สบอกกล่าวอย่างร้อนใจ
*ดูเหมือนว่าแผลที่ข้าฟาดหัวเขามันฉกรรจ์มาก เขาไม่ควรจะรีบเดินทางไปหรอก แต่เขาว้าเหว่ทุกข์ทรมานและถูกหักหลัง* น้องชายคนเล้กกลายเป็นคนทรยศ เขายากรานจะกลับไปช่วยพระเจ้าอยู่หัว ในศึกตอนขึ้นฝั่ง เขาพยายามจะสู้ เคราะห์ร้ายเขาถูกตีซ้ำตรงลอยแผลเก่า และเสียชีวิตในอีกสองสามชั่วโมง ต่อมา
*ข้าไม่เห็นว่าทำไมเจ้าถึงต้องเดือดร้อนขนาดนี้*
*ฟังจดหมายนี่สิ*
*ลานสลอ๊ต ถือจดหมายไปที่หน้าต่างและเงียบลง ขณะที่พินิจดูจดหมาย มีอะไรที่หน้าตื้นตันอยู่ในนั้น*
*แต่เซอร์ลานสล๊อต ยอดอัศวินผู้สูงส่งโดยที่ข้าได้ประจักษในชีวิตของข้า ข้า-เซอร์การเวก อัศวินโต๊ะกลมโอรสของพระเจ้า ล๊อต แห่งอ๊อกนีย์ บุตรแห่งพระเชษฐ์ภคินีแห่งพระเจ้าอยู่หัวอาณ์เธอร์ผู้ประเสริฐ ขอแสดงความเคารพมายังท่าน*
*และข้าขอให้โลกทั้งโลกตระหนักว่า ข้าเซอร์การเวก ขอตายด้วยน้ำมือของท่าน และมิใช่ด้วยเจตนาของท่าน  แต่เป็นเจตจำนงของข้าเอง  ข้าขอวิงวอนให้ท่าน เซอร์ลานสล๊อต กลับสู่ราชอาณาจักรแห่งนี้อีกครั้ง เพื่อมาเยี่ยมหลุมศพของข้า และสวดภาวนาให้แก่หลุมศพที่ข้านอนรอคอยท่านอยู่โปรดภาวนาให้แก่ดวงวิญญาณของข้าด้วยข และวันนี้ที่ข้าเขียนสาสน์ฉบับนี้  ข้าบาดเจ็บถึงฆาตด้วยบาดแผลที่มาจากน้ำมือท่าน เซอร์ลานสล๊อต ด้วยข้าพอใจที่จะไม่ถูกสังหารด้วยบุคคลผู้ประเสริฐไปกว่านี้อีกแล้ว.
                *นอกจากนั้น เซอร์ลานสล๊อต เพื่อความรักที่มีอยู่ระหว่างเรา....*
                ลานสล๊อต หยุดอ่านและโยนสาสน์ลงบนโต๊ะ   *เอา*  เขาบอก *ข้าอ่านต่อไปไม่ไหวแล้ว เขาขอให้ข้ารีบเดินทางไปเพื่อช่วยพระเจ้าอยู่หัวต่อสู้กับน้องชายของเขาและญาติคนสุดท้ายของเขา การเวกรักญาติของเขามากนะ บอร์ และท้ายที่สุดเขาก็ไม่เหลือใครเลย  แต่เขายังเขียนมายกโทษให้ข้า เขาบอกด้วยซ้ำว่าเป็นความผิดของเขาเอง พระเจ้าทรงทราบว่าเขาเป็นพี่ชายที่ดีเหลือเกิน*
*แล้วเราจะทำอย่างไรเรื่องพระเจ้าอยู่หัว*ฃ*เราต้องไปอังกฤษให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ มอร์เด็รดถอยทัพไปที่แกรนเบอรี่แล้ว  เขากำลังจะออกศึกครั้งใหม่ที่นั่น  ตอนนี้มันอาจจะจบลงแล้วก็ได้  ข่าวนี้มาถึงล่าช้าเพราะติดพายุ ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับความเร็วแล้ว*
/เบลโอเบริสบอกว่า *ข้าจะไปดูเรื่องม้า  เราจะออกเรือกันเมื่อไหร่*
                *พรุ่งนี้ คืนนี้ เดี๋ยวนี้เลย เมื่อลมซาลง เร็วเข้าเถิด*
                *แล้วเจ้านะบอร์ส เรื่องเสบียง*
                *ตกลง*
                บอร์สซึ่งเหลืออยู่คนเดียวกับลมพายุ หยิบจดหมายขึ้นมาอย่างกระหายไคร่รู้ เขาตะแคงจดหมายลงรับแสงไฟทีเริ่มจะอ่อน เขาสะกดตอนท้ายจดหมาย ปากขยับอ่านคำ
                *และวันที่ข้าเขียนจดหมายฉบับนี้ เพียงสองชั่วโมงครึ่งก่อนความตายมาถึง เขียนด้วยลายมือของข้าเอง และจารึกนามไว้ด้วยเลือดจากหัวใจข้า
การเวกแห่งอ๊อกนีย์*

สงคราม......พวกเขาเอาแต่พูดว่า...*สงครามครั้งนี้จะเป๊นสงครามครั้งสุดท้าย* และหลังจากนั้นโลกก็จะเป็นสรวงสวรรค์ พวกเขาเอาแต่จะสร้างดฃกใหม่ขนิดที่ไม่เคยมีใตรพานพบมาก่อน  ครั้นเมื่อเวลามาถึง พวกเขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เหมือนเด็กสร้างบ้าน พวกเขาไม่รู้วิธีจะเลือกวัสดุที่เหมาะสม

            ความคิดของบุรุษสร้างชาติดำเนินไปด้วยความยากลำบาก ไม่ได้ไปถึงไหนเลย แล้วก็ย้อนกลับมาทางเดิม แล้วก็แล่นไปทางเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนที่จะก้าวเข้าไปสู่ห้วงความคิดอีกวงหนึ่ง พระองค์จะหยุดคิดเรื่องนี้เสียไม่ได้ กษัตริย์อาร์เธอร์ทรงเหนื่อยล้าอ่อนระโหย พระองค์สิ้นแรงจากศึกสองครั้ง ครั้งแรกที่ช่องแคบโดเวอร์ ครั้งที่สองที่บาร์รอมดาวน์ พระมเหสีกำลังตกเป็นนักโทษอยู่ที่หอคอยแห่งกรุงลอนดอล พระสหายเก่าแก่ของพระอง๕ถูกขับออกจากแผ่นดิน  พระราชโอรสพยายามจะปลงพระชนม์พระองค์ อัศวินการเวกถูกฝังไปแล้ว  อัศวินโต๊ะกลมแตกกระจายหายสูญไปทั้งโต๊ะ  ประเทศตกอยู่ในสงคราม โดยทางใดทางหนึ่งพระองค์จะต้องทนทานแบกรับสิ่งเหล่านี้เอาไว้ให้ได้ด้วยหลักยึดในจิตใจ  นานมาแล้วที่พระอง๕ได้รับการสั่งสอนจากผู้เฒ่าเมอร์ลินโดยเชื่อว่า มนุษย์นั้นจะปฎิรูปให้เป็นคนสมบูรณ์แบบได้ โดยรวมแล้วมีคุณธรรมมากกว่าความป่าเถื่อนเยี่ยงเดรฉาน สิ่งทีเรียกว่าบาปดั้งเดิมไม่มีตัวตน พระอง๕ในฐานะกษัตริย์ได้รับการหล่อหลอมให้เป็นผู้ช่วยเหลือมนุษย์ คูณูประการที่พระองค์ถูกลิขิตมาคือการต่อสู้กับอำนาจ...ซึ่งเกิดจากการมีอคติด้วยจิตใจที่เจ็บป่วยของมนุษย์ พระราชดำริเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมอัศวินโต๊ะกลมของพระองค์ พระองค์เปรียบเสมือนผู้วิเศษที่มุ่งหมายจะติดตามผลการวิจัยมะเร็งร้ายตลอดพระชนม์ชีพ อำนาจเพื่อยุติมันลงและทำให้มนุษย์ชาติมีความสุขขึ้น  แต่โครงสร้างทั้งหมดมีสัมพันธ์กับสมมุติฐานอันแรกว่ามนุษย์นั้นเป็นสัตว์ประเสริฐดีงามเยียงเสือโคร่งที่ถูมนุษย์เลี้ยงมาแต่กำเนิดให้เป็นสัตวืประเสริฐ
            เมื่อมองย้อนกลับมาในพระชนม์ชีพ ดูเหมือนว่าพระองค์ทรงดันรนมาตลอดเพื่อจะสร้างเขื่อนโดยมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันอุทกภัย ซึ่งตรวจพบรอยแตกร้าวอยู่เสมอๆ ทำให้ต้องมีงานใหม่ทำอีกเรื่อยๆ  เหมือนกระสน้ำเมื่อท่วมจากที่สูงก็ย่อมไหลต่อไปยังที่ต่ำ ครั้นพระองค์ทรงอภิเษกสมรส พระองค์ทรงใช้พละกำลังในการสู้รบกับพวกชาวเกล เพียงเพื่อสอนพระอง๕เองว่าการทำผิดสองครั้งผลลัพธ้จะไม่ได้เป็นถูกหนึ่งครั้ง แต่ด้วยอัศวินตกกลมของพระอง๕จนสามารถสยบความแบ่งแยกอันก็ให้เกิดสงครามศักดินาสวามิภักดิ์ได้สำเร็จ และทรงพยายามควบคุมทรราชในรูปแบบย่อยโดยนำอำนาจของทรราชมาใช้ให้เป็นประโยชน์ เพื่อจัดการกับความชั่วร้ายพระองค์ทรงให้อัศวินของพระองค์ไปจัดการปราบอิทธืพลของเหล่าบารอนและบารอนเนสเหล่านั้น จนกระทั่งกาลเวลาผ่านไปก็ได้บรรลุจุดหมายแล้ว พวกเขาทำตามคำบัญชาของพระองค์ แต่พลังอำนาจของพระองค์ที่มีอยู่เกิดปฎิกริยาลุกโซ่จนนอกเหนือการควบคุม ดังนั้นพระอง๕จึงต้องแสวงหาช่องทางใหม่ โดยส่งพวกเขาอัศวินเหล่านั้นไปปฎิบัติภารกิจของพระเจ้าเพื่อแสวงหาจอกศักดิ์สิทธิ์ เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องใหญ่เป็นนามธรรมเพราะพวกอัศวินบ้างก็ล้มเหลวและบ้างก็สำเร็จอรหันต์และปล่อยวางโดยหลุดพันไปจากโลก...