ขุนนางผู้นี้มีนามว่า The head-strong knight Erazem
Lueger (โอนาซิน เดอลารองซ์)
เขาอาจเป็นนักผจญโชคที่หาชื่อสกุลขุนนางให้กับตนเอง
เพื่อที่สังคมชั้นสูงจะได้โอบอุ้มให้เป็นที่ยอมรับเพราะไม่มีใครในประวัติศาสตร์ของชนเชื้อสายชาวัวที่มีใครรู้จักชื่อนี้ไม่มีบรรพบุรุษหรือผู้สืบเชื้อสายคนใดได้นับญาติของตนมีความสัมพันธ์กับพวกเขาตั้งแต่สมัยใดๆอันที่จริงแล้วไม่มีใครรู้ว่าเขามีที่มาอย่างไร
แต่เขาก็แสดงตัวตนออกมาในยุคสมัยที่เราพบนั่นแหละ....ใช้ชืวิตหรูหราในปราสาท . the Predjama Castle....ซึ่งงานเลี้ยงอย่าง “เขาของโกโนปี” (The
horn of conopy) อันเปํนองค์บริบทสำคัญที่ทำให้ชื่อนี้เป็นนิยามของความหมายแห่งการใช้ชึวิตที่เพียบพร้อมเป็นนามแฝงใช้กันอยู่อย่างสามัญของคำว่า
“ราชา” เพราะเขาป็นอัศวินที่มีความเป็นอยู่อย่างราชาโดยมีชีวิตที่แวดล้อมด้วยบริวารมากมาย
ที่ปราสาทเขามีหอคอยหกหอแต่ละหอมมีห้องใต้ดินอันเป็นที่เลื่องลือถึงที่เก็บองุ่นหมักทำไวน์ทำให้เหล้าองู่นภายในห้องใต้ดินมีรสชาดดีเลิศ
ในเรื่องอาหารการกินที่เขาใช้คำว่าหรุหราตลอกปีที่มีนิยามแฝง
ของความฟุ่มเฟือยหลงเหลืออยู่ต่อมาถึงปีถัดไป โดยเฉพาะแกะสายพันธ์...และเรื่องหลับนอนนอนก็คือความประพฤติเสเพลและชีวิตที่ลุ่มหลงอยู่ในโลกียวิสัย
ที่มูแลงรูจน์มีสาวงามจำนวนมากพร้อมที่จะหลับนอนกับอัศวินผู้นี้และบรรดาแขกเหรื่อของเขา ในฐานะหัวหน้าหรือผู้ว่าราชการประจำจังหวัดใดอาทิเช่น .................
ในบรรดาสาวงาม
ในบรรดาสาวงาม
ที่ร่วมหลับนอนกับเขาไม่มีใครสักคนในจำนวนนั้นที่เป็นอุปสรรคในความรักที่เขามีต่อดยลองด์
ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของเขาเลย และเป็นที่แน่นอนว่าราเชลจะไม่เคยได้รับอนูญาตให้มาในงานเลี้ยงฉลองไม่ว่าในคืนนี้หรือคืนไหนๆก็ตาม
เธอจะต้องอยู่เพียงคนเดียวตามลำพังโดยที่มียามคอยรักษาการณ์อย่างแน่นหนา เมื่อเวลาผ่านไปสาวงามผู้อ่อนหวานพึงสังเกตเห็นกระแสลมโชยสายฝนโปรยมาเย็นฉ่ำเสมือนหัวใจดวงน้อยๆแสนเปราะบางของเธอได้รับการเยียวยาจากพระพิรุณและองค์พิคเณศ
โน้มน้าวจิตใจของเธอให้โอนอ่อนย้อนเวลา เดินไปหยิบพิณที่แขวนอยู่บนเตาผิงขึ้นมาเทียบเสียงพอได้ระดับเสียงที่พอใจเธอก็รำพันเบาๆเคล้าคลอไปกับเสียงเพลงและฝันถึงครั้งก่อนที่จะนำอดีตออกมาตีแผ่และบ่อยครั้งเช่นเดียวกับหญิงสาวหลายๆคนโดยใช้จินตนาการเกี่ยวก้อยเรื่องในชีวิตจริงไปกับชายหนุ่มจินตกวีรูปงาเเชื้อสายขุนนางเต็มตัว
(Poor little fool) นอกจากนั้นเขาจะต้องเป็นนักกายกรรมเพื่อที่จะสามารถผ่านเหล่าทหารยามรักษาการณ์เข้าหาเธอถึงในห้องในหอคอยด้านตะวันตกของประสาทโดยโรยตัวด้วยเชือกคล้องลูกรอกผ่านหน้าต่างช่องแคบๆที่มีแสงสว่างรอดเข้ามาในกรงทองที่กีดขวางอยู่นั้นและเมื่อเข้ามาอยู่ในกรงทองของเธอมองผ่านหน้าต่างแคบๆที่มีแสงสลัวรอดเข้ามา
คูน้ำที่กว้างพอสมควรและเหล่าทหารยามที่รักษาการณ์อยู่เบื้องล่างก็ไม่สามารถเป็นอุปสรรคกีดกั้นระหว่างเธอกับเขาได้
ชายคนนี้ผู้เข้ามาเยี่ยมเธอพร้อมทั้งระบายความในใจโดยร่ายกลอนที่เรียงร้อยมาสำหรับเธอเมื่อมาถึงหอคอยเมื่อตะวันกำลังจะเริ่มลับขอบฟ้าและขับกล่อมเธอด้วยบรรยายถึงความงดงามของทะเลสาบทุกสิ่งที่เขาทำเป็นบทกวีที่หญิงสาวเห็นพ้องจากภาพไกลๆของทะเลสาบที่ไม่สามารถจินตนาการโดยไม่มีเสียงของเขาทำให้เธอขวยอายหน้านวลระเรื่อดังดอกสายน้ำผึ้งยามเช้า....ที่หอมลมุน
ส่วนสามีของเธอ....จินตนาการว่า................เหล่าทหารยามที่เฝ้าบรรดาประตูคูหออยู่ก็ไม่สามารถกีดขวางเทพบุตรเฃื้อสายกรีกคนนี้โดยไม่ให้โรยตัวมาเยี่ยมเธอถึงในห้องนอนอันแสนสบายนั้นได้
หากมาตรว่าความฝันนั้นๆเป็นความจริงขึ้นมาเราคงได้ยินเสียงพิณระคนเสียงโอดครวญปรวนแปรเป็นกังวานดังประหนึ่ง....สายรุ้ง
เรื่อง หอคอยที่เจ็ดแห่งกษัตริย์ ณ. ประสาท
ริปาย
นักประวัติศาสตร์ได้พยายามเล่าชีวิตที่หน้าเลื่อมใสของ
ดยุคแห่งชาวัวนาม อเมเด ที่ 8(ค.ศ. 1383 – 1451)
เพื่อพยายามให้เราลืมคำกล่าวของนักเขียนอย่าง
วอลแตร์ที่เขียนให้เรารู้จักชื่อเสียงของปราสาทริปาย แต่
ความจริงไม่ปรากฏในงานเขียนของขุนนางแฟร์เนย์ หรือ สันตะปาปา เฟริคที่ 5 ผู้อ่อนโยนและมีนัยเป็นคู่แข่งและเป็นผู้เล่าเรื่องชีวประวัติของนักบุญ
เรื่องนี้เป็นชีวประวัติของขุนนางผู้มีชื่อเสียงในทางอัปมงคล
ได้รับเลือกที่เมือง บาล ในปี ค.ศ. 1435 ไห้ดำรงตำแหน่ง ผู้ต่อต้านและไม่ยอมรับ
พระสันตะปาปา เออแณนที่ 4 และ นิโคลัสที่ 5 และได้ทำการสละตำแหน่งในปี ค.ศ. 1449
ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่แต่ตอนนี้เขาถูกลืมไปแล้ว
เพราะมันเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายเมื่อลัทธิของคาธอลิคมีการแยกตัวออกมา....ขุนนางผู้นี้ชื่อ
โอเนชิม เดอลาดร็องช์ผู้เปลี่ยนนามสกุลของตนเองเป็นเชื้อพระวงศ์เพราะประวัติศาสตร์
ส่วนสามีของเธอจินตนาการว่า............มีคนผู้ประสงค์ร้ายประเภทกวีที่ชอบลำพันถึงธรรมชาติมาด้อมมองสนามด้านตะวันตกของปราสาท
มีต้นสายน้ำผึ้งขึ้นเป็นแนวยาวก็อดไม่ไหวที่จะเด็ดออกมาดมมีกลิ่นหอมกลุ่นคล้ายกลิ่นน้ำหอมคริสตินดิออร์กลิ่นดอกมูเก็ต์
เป็นดอกไม้ที่น่ารักก้านดอกบอบบางและปักใจชอบทันทียามที่ได้ยินเสียงขับกล่อมจากเบื้องสูงบนหอคอย....เขาเป็นนักเลงประเภทร่อนเร่พเนจรพร้อมบทกลอนใหม่ที่ถุกจุดประกายขึ้นจากสิ่งแวดล้อมเช่นดอกไม้เยี่ยงนั้น
จุดประสงค์อันใดฤๆที่ผลักดันให้เขากระทำเช่นนั้นย่อมเป็นเรื่องที่อธิบายได้ยาก
แต่ลอร์ดโอเนซิมก็อุบัติสายตาไปบรรจบเข้ากับสิ่งๆหนึ่งนั่นก็คิอ คาตาปู หรือเกาฑันเป็น
อาวุธสงครามสมัยโบราณทีมีไว้ใช้ยิงขึ้นไปพร้อมกับลูกรอกหรือสิ่งของหนักๆเพื่อให้ผ่านข้ามกำแพงเวลาเกิดศึกสงคราม
นี่ใช่เวลาสงครามก็หาไม่แล้วอะไรเล่า...เขาจินตนาการต่อไปว่าภรรยาของหัวหน้ายามรักษาการณ์ได้ถูกกวีผู้นี้ขับกล่อมบทกลอนเกี่ยวกับความหอมของดอกมูเก็ตเข้าให้แล้ว....เพื่อหลอกล่อเธอแล้วนำตัวเองเข้าไปในปราสาทได้สำเร็จเป็นที่แน่นอนมาดแม่นว่าเขาถูกยามหกเจ็ดคนช่วยกันจับตัวไว้ได้
ขุนนางโอเนซิมที่บารมีเหนือกว่าท่านลอร์ดใดๆในแคว้นเบอร์กานดีคิดต่อไปอย่างมีความสุขที่จะได้เผิชญหน้ากับชายจรจัดผู้ชอบร่ายกวีเกี่ยวข้องกับดอกไม้หอม
และแล้วมันผู้นั้นจะต้องถูกเขาตัดใบหูออกสังเวยนางบำเรอของเขาเช่นเดียวกับที่
ศิลปินชื่อ วินเซ็นต์แวนโก๊ะเคยกระทำต่อ ราเชน นางโรมแห่งหอคอยโคมแดง...และอย่างอื่นรวมทั้งบทกลอนของวณิพกคนนี้จะถูกเขาหั่นเป็นชิ้นๆต่อหน้าเพื่อนพ้องของเขาที่มางานเลี้ยงครั้งนี้และเป็นครั้งเดียวเท่านั้นที
ราเชลได้ถุกเชิญเข้าร่วมด้วยในงานเลี้ยงรื่นเริง
ในเมืองมีแม่มดมนุษย์ป้าๆมีสถานะในเฟสบุคเป็นบุคคลที่สามผู้เฃื่อว่าชายวณิพกเชื้อสายขุนนางกรีกผู้ชอบร่ายกลอนเกี่ยวข้องกับดอกไม้หอมมาหว่านเสนห์ให้กับหญิงสาวที่พำนักอยู่ในปราสาท หล่อนคือมนุษย์ป้าผู้ซึ่งมีเวทมนตร์อยู่ในร่างบางๆที่ยับย่นด้วยการปล่อยปละละเลยของกาลเวลา.....
.........โอ้..ชายวณิพกผู้ชอบร้อยกรองบทกวีเกี่ยวกับดอกไม้หอมให้สาวๆที่พำนักอยู่ในปราสาทฟังโอ....ได้ถูกหญิงชรารังเกียจเพราะกรรมที่เขาก่อไว้ต่อหน้าหญิงสาวเหล่านั้นเพียงแต่การละเว้นราเชลลูกสาวของนางแม่มดทำให้เกิดอารมณ์ริษยา
หญิงชรามาโดผู้มีเวมมนตร์อยู่บ้าง หล่อนรักษาฝีหนองอักเสบที่อกของลูกสาวจนหายและปรามาสชายหนุ่มที่ไม่มาสู่ขอลูกสาวของนางแต่กลับไปชอบโยลองด์แทน. ใครที่เคยประสพพบพักตรลูกสาวของนางย่อมเข้าใจดีถึงความแตกต่าง,ความไม่ทัดเทียมกันในรูปลักษณ์...ในสโลวีเนีย
ณ ที่ๆเป็นที่พำนักของแม่มดในร่างของหญิงชรา มาโด
ความฝันของหล่อนจะเป็นความจริงขึ้นมาก็ต่อเมื่อหล่อนได้ผลักหน้าของผู้ชายที่หมายปองโยลองด์และพยายามล่วงล้ำเข้าไปในปราสาท...ก้าวล่วงไปสู่ยุคของ
ปราสาทเพชรจามรี.
พวกฮอลลี่โรมันเอ็มไพล์
พยายามที่จะปิดล้อมจนเขาอดอาหารตายตามคำสั่งของจักรพรรดิ
เฟรดเดอริเดอะเธอ์ดช่วงปลายศตวรรษที่สิบห้าขึ้นสู่ช่วงแรกของศตวรรษที่สิบหก ณ.ปากถ้ำบนหน้าผาที่ยอดเขาเหนือทะเลสาบเจนีวา……..เมื่อทหารยามรักษาการณ์ผลักหน้าผากเขาเพื่อกันไม่ให้เขาผ่านเข้าประตุไป...เรื่องราวก้อเป็นดังที่เล่าขานมาจากสมัยศตรรษวัตรที่
สิบห้า คือเย็นวันหนึ่งในฤดูใบไม้ล่วง....แน่นอนว่าโยลองค์ไม่เคยได้มาร่วมงานอันแสนสนุกเหล่านั้นเพราะเขาไม่เคย,มาก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้หล่อนไดัสิทธิดังกล่าว
เธอต้องตกอยู่ในห้วงอารักขาของยามรักษาการณ์อย่างหนาแน่น เธอดีดพิณโบราณในหอคอยด้านตะวันตกของปราสาท
เช่นเดียวกับหญิงสาวเหล่าเชื้อสายขุนน้ำขุนนางเธอยังคงมีความฝันและบ่อยครั้งที่เธอฝันเห็นบุรานิรนามผู้มาเยือนพร้อมกับบทกวีอันไพเราะในท่วงท่าของนักกายกรรมที่โหนตัวมาตามสายลมถึงหน้าต่างแคบๆที่มีแสงลอดเข้ามาในกรงทองของเธอได้บางส่วน
อุปสรรคต่างๆ เช่น คูน้ำกว่าง
กำแพงสูงเหล่าทหารยามที่เฝ้าบรรดาประตูคูหออยู่ก็ไม่สามารถกีดขวางเทพบุตรกรีกคนนี้โดยไม่ให้โรยตัวมาเยี่ยมเธอถึงในห้องนอนอันแสนสบายนั้นได้
หากมาตรว่าความฝันนั้นๆเป็นความจริงขึ้นมาเราคงได้ยินเสียงพิณระคนเสียงโอดครวญปรวนแปรเป็นกังวานดังประหนึ่ง....สายรุ้ง.............”มาโด
เจ้ามาทำอะไรอยู่ที่นี่ในเวลาเช่นนี้
เจ้าไม่กลัวความมืดของกลางคืนหรือไง” ผู้ดูแลผลประโยชน์ของอัศวินกล่าวขึ้นโดยมีโอนาซิม หัวเราะอย่างเย้ยหยัน....”มาโด
หน้าตาน่าเกลียดมาก จนตัวหล่อนนั่นแหละจะทำให้ความมืดกลัว”
“ข้าหน้าตาน่าเกลียด”
หญิงชราพูดขึ้น “และข้าก็รู้ด้วยแต่ข้าได้พบชายหนุ่มรูปงามเหลือเกิน
และเขาก็ไม่กลัวความมืดเช่นกัน”
“ใครกันนะ”
“ข้าไม่รู้จักเขาหรอก
แต่ท่านลอร์ดท่านคงจะรู้จักเขานะ เขาถามข้าถึงทางไปปราสาทของท่านนะ”
“ไปปราสาทของข้างั้นหรือ”
“ใช่ซิ
เขามาจากทะเลสาบ เสียสติหน่อย ๆ”
“เขามีท่าทางเหมือนอะไร”
“ก็ท่าทางเหมือนที่เขาเป็นนะสิ
วณิพกที่สดใส เสียงหวานจนน้ำผึ้งไหลอาบหัวใจท่านเลย”
ท่านสอร์ดไม่อยากได้ยินอะไรไปมากกว่านี้เพราะทนไม่ไหวเขากระโจนออกไปอย่างรวดเร็ว
ไม่ได้ยินแม้แต่วาทะสุดท้ายของผู้ดูแลผลประโยชน์ “แขวนคอยายแม่มดนี่เสียเถอะครับท่าน”
เขากระโดดขึ้นม้าแล้วกระแทกโกรนใสม้าออกไปฝ่าพงหญ้าที่มีหนามของต้นกระบองเพ็ดแฝงอยู่เป็นระยะ
ยามสายันห์ส่องแสง ตะวันสีแดงเรื่อยามเช้าสายลมโชยผ่าน
ขณะที่พ้นคุ้งทะเลสาบเขาได้พบกับชายผู้เป็นคนลากรถ
“เจ้าไม่เห็นผู้ชายคนหนึ่งดอกหรือ”
ชายผู้เป็นคนลากรถเกิดอาการกลัวจนตัวสั่นตั้งแต่ศรีษะจรดเท้า
เขาพุดลิ้นระรัวจนฟังไม่ได้ศัพท์
“เห็นๆ
ชายร่างใหญ่ รูปงามมาก เผ่นไปเร็วราวกับธนู ตรงไปยังปราสาท เปรตจาม”
เหล่าทหารม้าออกเดินทางเร็วปานสายลม
เสียงกีบม้าที่ควบกล้ำกับผิวกรวดดังสนั่นหวั่นไหว พวกเขาควบม้าหมู่ไปเช่นนี้โดยไม่มีใครเห็น..จนกระทั่งนาทีระทึกก็มาถึงประตูลับของปราสาท
ท่านลอร์ดจึงถามทหารยามรักษาการณ์ว่า “เจ้าเห็นผู้ชายคนหนึ่งบ้างไหมนี่”
“ไม่เห็นใครเลยขอรับ”
“ไม่มีใครเข้ามาเลยหรือ”
“ข้ามาอยู่ที่นี่ชั่วโมงหนึ่งแล้วก็ยังไม่เห็นใคร”
“แล้วเจ้าไม่เห็นใครที่เดินอยู่ในบริเวณนี้เลยหรือ”
“ไม่มีใครเลยขอรับ”
ท่านลอร์ดออกคำสั่งให้กองลาดตระเวนออกพื้นที่รอบๆอีกกองหนึ่งไปสำรวจบริเวณปราสาทและห้องใต้ดินจนทั่ว
“แล้วถ้าพบผู้ชายคนหนึ่ง
จงจับเป็นแล้วนำตัวมาหาข้าที่นี่
พูดจบก็รีบไปหอคอย...ที่ๆภรรยาของเขาถูกขังอยู่
แต่
”ไปที่ประตูหน้าห้องคุณหญิง ไปข้างใน บอกไปว่าเจ้าคิดว่าเจ้าได้ยินเสียงเรียก และหาทางเข้าไปเพื่อให้แน่ใจว่า เออยู่ตามลำพังคนเดียว” ผู้กองหัวหน้าหน่วยและทำหน้าที่องค์รักษ์รีบรุดไปหอคอยด้านตะวันตกแล้วเมื่อเข้าไปใกล้ก็ได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่งชัดเจนไม่ต้องสงสัยเลยว่าเสียงนี้มาจากห้องของ.......
...โยลองด์ เขาจึงเดินไปข้างหน้าแต่เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้แนบหูกับบานประตูเสียงนั้นก็เงียบลงเหลือเพียงเสียงดนตรีเศร้าสร้อยจากการบรรเลงของหญิงสาวจากพิณโบราณ และแล้วองค์รัก์ก็พยายามย่อตัวลงแนบใบหน้าเข้ากับรูกุญแจเพื่อสอดส่ายสายตาเข้าไปภายใน
องค์รักษ์วาดมโนภาพฝันถึงตัวเขาเองจรดปลายดาบกดลงไปที่คอหอยของผู้บุกรุกหรือวณิพกผู้กระทำการอุกอาจจนหน้าละอาย
เขาพยายามมองอีกครั้งจนเมื่อภายในห้องได้ยินเสียงเขาซื๊ดนำลายให้ไหลกลับเข้าลำคอของตนเอง
เขาจึงเปิดประตูผลั่วๆเข้าไปโดยไม่ลืมบิดปุ่มลูกบิดที่ถูกทำลายจากแรงกระแทกของเขา “โอย”เสียงร้องระคนความเจ็บปวดของเขา
ภาพที่อยู่ตรงหน้าปราศจากวณิพกหนุ่มรูปงามถูกขู่บังคับให้เขาพาไปหาเจ้านานแต่กลายเป็นหญิงงาม.....
...........แทนที่เขาจะได้จับตัวผู้บุกรุกที่มีค่าตอบแทนอย่างสาสม รางวัลจากการจับตัวเป็นฯทำให้เขาแทบคลั่งไม่ลังเลเลยที่จะกระตุกดาบออกจากฝัก ทำให้เสียงพิณหยุดลงทันที โยลองด์ผู้เลอโฉมทำตาเขียวใส่เขา สำหรับคนที่มีนัยน์ตาสีฟ้าใสสว่างมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่หล่อนทำพร้อมกับพร้อมกับขมวดคิ้วแล้วเชิดหยิ่ง....
“อ้า...คือว่าข้าเคาะแล้ว”
“(ไอ้สันดาน)
นั่นไง ท่านเคาะประตุแล้วและท่านก็บอกให้ท่านเข้ามาได้ และเป็นเพราะข้า
(ประสาทแตก)
เสียสติ ท่านจึงดึงไอ้นั่นนะ(ดาบ)ออกจากฝัก”
“ได้โปรดเถอด
ท่านหญิง ข้าคิดว่าได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ”
“อย่างนั้นหรือจากไหนละ(สะพานควายกระมัง)โปรดรบกวนบอกด้วย”
“จากหลังประตู”
“แล้วท่านมาทำอะไรอยู่ที่นั่นละ(ไอ้ตูดหมึก)”
หญิงสาวหัวเราะเสียงใสเผยให้เห็นความงาม
“เออแนะท่านไม่ได้เป็นองค์รักษ์แล้วแต่เป็นทหารธรรมดาๆ เป็นการเลื่อนขั้นที่สวยหรู ข้าขอชมเชย สามีข้าช่างวิเศษเสียจริง ข้าขอชมเชย และแสดงความยินดี ผู้กองตกหลุมพรางของตัวเองที่วางไว้ จึงวดึงดันโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ที่ถูกผู้หญิงรุปร่างเปราะบางคนนี้เยาะเย้ยและถากถาง จึงรีบวิ่งออกจากห้องเพื่อไปรายงานให้เจ้านานรู้ทันที และแน่นอนเขาระบายสีเติมไปอีกว่า “เขาอยู่กับมาดาม ผมได้ยินเขาพูดกัน และเขาก็อ่านบทกลอนแห่งรักให้มาดามฟัง พอข้าเข้าไปในห้องแบบจู่โจม แต่ชายคนนั้นปราดเปรียวเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด กระโดดไปอยู่ที่ขอบหน้าต่างแล้ว ขระที่ผมกำลังจะเข้าไปแทงไอ้เจ้าวณิพกอุจาดผู้นั้น มาดามก็หวีดร้องขึ้นสุดเสียงจนผมหันหน้าไปมองนาง แล้วชายผู้นั้นก็กระโดดลงไปบนความว่างเปล่าแล้ว”
“เออแนะท่านไม่ได้เป็นองค์รักษ์แล้วแต่เป็นทหารธรรมดาๆ เป็นการเลื่อนขั้นที่สวยหรู ข้าขอชมเชย สามีข้าช่างวิเศษเสียจริง ข้าขอชมเชย และแสดงความยินดี ผู้กองตกหลุมพรางของตัวเองที่วางไว้ จึงวดึงดันโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ที่ถูกผู้หญิงรุปร่างเปราะบางคนนี้เยาะเย้ยและถากถาง จึงรีบวิ่งออกจากห้องเพื่อไปรายงานให้เจ้านานรู้ทันที และแน่นอนเขาระบายสีเติมไปอีกว่า “เขาอยู่กับมาดาม ผมได้ยินเขาพูดกัน และเขาก็อ่านบทกลอนแห่งรักให้มาดามฟัง พอข้าเข้าไปในห้องแบบจู่โจม แต่ชายคนนั้นปราดเปรียวเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด กระโดดไปอยู่ที่ขอบหน้าต่างแล้ว ขระที่ผมกำลังจะเข้าไปแทงไอ้เจ้าวณิพกอุจาดผู้นั้น มาดามก็หวีดร้องขึ้นสุดเสียงจนผมหันหน้าไปมองนาง แล้วชายผู้นั้นก็กระโดดลงไปบนความว่างเปล่าแล้ว”